
ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตามมักมีวิธีการเลือกซื้อที่ต่างกันออกไป และ”เพชร” ก็มีวิธีเทคนิคในการเลือกซื้อให้คุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เราต้องเสียไป โดยทั่วไปที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆในการเลือกซื้อเพชร เช่น น้ำหนัก (Carat Weight) , สี (Color Grade) , เหลี่ยมเจียระไน (Cut Grade) , ความสะอาด/ตำหนิ (Clarity Grade) หรือที่เรียกกันว่า 4C

Carat(weight) : เลือกขนาดให้ถูกใจ
ในหน่วยน้ำหนักของเพชรที่ใช้เรียกกันสากล คือ กะรัต(Carat) หรือที่บ้านเรานิยมเรียกกัน 1กะรัต=100ตัง
ซึ่งถ้าช่างเป็นน้ำหนักต่อกรัมแล้ว 1กะรัต=0.2กรัม และน้ำหนักของเพชรก็จะบ่งบอกถึงขนาดเพชรไปด้วย ยิ่งน้ำหนักเยอะ ก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยแรกๆที่เราให้ความสนใจว่าจะเลือกซื้อเพชรขนาดไหนดี?

Color(grade) : เลือกสีที่ใช่
เพชรเองนั่นก็มีสีของตัวมันเอง ไหนจะสีชมพู แดง ส้ม ซึ่งจะนับเป็นกลุ่มเพชรสี(Fancy color) แต่ในที่นี้เราจะพูดถึงความใสของเพชร(Colorless) โดยเพชรกลุ่มนี้จะเริ่มจาก D-color(น้ำ100) , E-color(น้ำ99) , F-color(น้ำ98) ไล่ไปเรื่อยๆซึ่งสีเพชรจากน้ำ100ก็จะใสขาวแล้วค่อยๆนวลลงไปเรื่อยๆ ซึ่งสีเพชรก็ส่งผลต่อความสวยงามและราคาอย่างมาก

Cut(grade) : เลือกเหลี่ยมเจียระไนให้แวววาว
ใช่แล้ว! การที่เพชรนั้นจะส่องประกายได้อย่างสวยงามจะต้องมีเหลี่ยมเจียระไนที่สวยและสัดส่วนพอเหมาะ ซึ่งถ้าเหลี่ยมเพชรเม็ดนั้นสวยก็จะส่งผลช่วยให้สีของเพชรดูกระจ่างขึ้นอีกด้วย กลับกันถ้าเลือกเหลี่ยมเพชรที่ไม่สวยหรือสัดส่วนไม่พอเหมาะก็จะส่งผลให้ความประกายของเพชรและสีนั้นดูลดลง ถึงแม้จะเลือกสีเพชรดีแค่ไหนแต่ถ้าเหลี่ยมเจียระไนไม่สวย เพชรก็ไม่สามารถส่องประกายได้อย่างสวยงาม จึงเห็นได้ว่าการเลือกเหลี่ยมเจียระไนนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ

Clarity(grade) : เลือกความสะอาดอย่างคุ้มค่า
กับองค์ประกอบสุดท้ายกับความสะอาดของเพชร โดยที่เพชรแต่ละก้อนจะมีความสะอาดที่แตกต่างกันไป ยิ่งเพชรที่สะอาดมากก็จะไม่มีอะไรมาบดบังประกายแสงที่ออกมาจากตัวเพชร ซึ่งระดับความสะอาดก็จะมีหลายระดับตั้งแต่ (Flawless , Internally Flawless , Very very slightly included ลงไป…) โดยส่วนใหญ่การมองความสะอาดของเพชรอาจจะยากเล็กน้อยเนื่องจากลักษณะตำหนิก็มีหลายแบบ หลายขนาด หลายตำแหน่ง ทำให้หลายๆคนมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่จริงๆแล้วนั้นการเลือกความสะอาดก็ควรพิจารณาไม่แพ้องค์ประกอบอื่นเลย